วิเคราะห์เกมพรีเมียร์ เกมบิ๊กแมตช์ประจำสัปดาห์ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด เจ้าบ้านแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่กำลังฟอร์มร้อนแรง พบกับ อาร์เซน่อล ที่ฟอร์มโดยรวมยังไม่ค่อยดี แข่งมา 6 นัด แพ้ไปถึง 3 นัด สำหรับผังการเล่น เจ้าบ้านมาในระบบ 4-3-1-2 ที่น่าจะเป็นสูตรอันลงตัวสำหรับทีมของโซลชา ส่วนอาเตต้า มาในระบบ  3-4-3

วิเคราะห์เกมพรีเมียร์ เกมเริ่มมาเป็นอาร์เซน่อล ที่ได้ครองบอลมากกว่า

          เกมเริ่มมาเป็นอาร์เซน่อล ที่ได้ครองบอลมากกว่า โดยใช้แท็กติกครองบอลและถ่ายบอลไปมา ไม่เสียบอลง่ายให้แมนยูได้โต้กลับ หากไม่ชัวร์ส่งคืนหลังและตั้งเกมขึ้นมาใหม่อย่างรวดเร็ว ซึ่งก็สามารถทำได้ เพราะแท็กติกของแมนยู ไม่เพรสซิ่งสูง แต่เน้นการป้องกันในแดน ส่วนเกมรุกของอาร์เซน่อล เมื่อเจาะแมนยูจะใช้การจ่ายเร็วที่น้อยจังหวะ ทำให้ได้เปิดบอลซ้าย ขวา จนเจ้าบ้านเกือบโดนยิงหลายหน

          แท็กติกที่อาร์เซน่อล วางมาทำให้แมนยูไม่ได้บุกตลอดครึ่งเวลาแรก กล่าวคือ ทีมเยือนครองบอลไว้กับตัวเหนียวแน่นจนปีศาจแดงไม่มีจังหวะได้โต้กลับ ขณะที่จังหวะแมนยูได้บอล ผู้เล่นทีมเยือนจะเพรสซิ่งใส่ ตั้งแต่กกลางสนาม จนทำให้แนวรุกเจ้าบ้านไม่มีพื้นที่ในการวิ่งกระชากเพื่อทำเกมรุก

          ครึ่งหลังเกมยังทรงเดิม แต่อาร์เซน่อลเริ่มเจาะได้ยากขึ้น จนทีมปืนใหญ่ต้องจ่ายคืนหลังไปตั้งหลัก ส่วนแนวรุกแมนยู ก็มีจังหวะวิ่งเพรสกดดันบ้าง เพื่อให้ได้บอล

          จุดเปลี่ยนสำคัญอยู่ที่จังหวะจุดโทษ ซึ่งไม่น่าเสียฟาว์ลเพราะยังไม่ใช่พื้นที่อันตราย และแน่นอนว่า โอบาเมยัง ยิงไม่พลาด โดยเมื่ออาร์เซน่อลขึ้นนำ จึงเปลี่ยนแผนซื้อเกมรับทันที ซึ่งส่งผลกับเจ้าบ้านเต็มๆ ที่แต่เดิมก็เจาะไม่เข้าอยู่แล้ว อีกทั้งต้องมาเจอกับแผนรถบัสอีก

          โซลชาแก้เกมด้วยการส่ง คาวานี่ ลงมา ซึ่งเป็นการแก้เกมที่ถูกต้อง เพราะต้องอาศัยการโจมตีทางอากาศแล้ว ในเมื่อเจาะภาคพื้นดินไม่เข้า ขณะที่ตัวเปลี่ยนออกเป็นแนวรุกออกสองคนอย่าง บรูโน่ กับ กรีนวู้ด ที่เงียบมาเกือบทั้งเกม กูรูบางท่านกล่าวว่าทำไมไม่เอาป็อกบา ออก เพราะเล่นไม่ดี แถมทำเสียจุดโทษ แต่หากมองในอีกมุม ป็อกบาสามารถโยนยาวได้ดีกว่าบรูโน่ ซึ่งมีแนวโน้มจะเข้ากับแผนของโซลชามากกว่าในช่วงท้ายเกม

          บทสรุปเกมนี้ แท็กติกของอาเตต้า วางมาได้ดีแต่ไม่ได้ผลลัพธ์ตามแผน ยังดีที่มีโชคจากป๊อกบา จึงสามารถคว้า 3 แต้ม ออกมาได้ ส่วนโซลชา แท็กติกไม่มีอะไรเหมือนเคย อาศัยรอเก็บกินความผิดพลาดของคู่แข่ง ซึ่งก็แน่นอนว่าแท็กติกแบบนี้ย่อมเป็นที่มาของวงจรอุบาทก์ ที่แมนยูต้องเผชิญต่อไปอีกเรื่อย ๆ

ติดตามข่าวสารในวงการฟุตบอลทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะทำให้คุณไม่พลาดอย่างแน่นอน

นักฟุตบอลอาชีพ จากข่าวคราวของอดีตแข้งเยาวชนทีมแมนซิตี้ ฆ่าตัวตาย เพราะจมปลักกับความผิดหวังที่ไม่ได้สัญญาจากทีมและไม่มีทีมให้ลงเล่น ปัญหานี้นับเป็นเรื่องใหญ่สำหรับเด็กชาวอังกฤษหลายๆคน เพราะการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มีอัตราการแข่งขันที่สูงมาก  

ทุกปี จะมีเยาวชนในอังกฤษ ราว 1.5 ล้านคน เข้ามาฝึก เพื่อได้เข้ารับเลือกเป็น นักฟุตบอลอาชีพ

ที่ได้ฝึกซ้อมกับทีมเยาวชน จนเมื่ออายุ 12 ปี ก็จะถูกสโมสรคัดเลือก เพื่อเข้าสู่ระบบการฝึกของสโมสร ซึ่งจะมีเพียง 1 % หรือ 15,000  คน เท่านั้น ที่สโมสรจะคัดเลือกเก็บไว้เพื่อปลุกปั้นต่อไป ทำให้นอกจากจะได้ฝึกซ้อมและเรียนรู้ทักษะแบบจริงจัง ยังอาจได้พบเจอกับดาวเตะทีมชุดใหญ่ รวมถึงได้สวัสดิการเรียนหนังสือในโรงเรียนที่มีคุณภาพควบคู่ไปกับการเล่น ฟุตบอล ส่วนคนที่ถูกคัดออก แน่นอนว่าเกือบทั้งหมดฝีเท้าไม่ถึงที่จะเป็นนักฟุตบอลเป็นอาชีพได้ ทำให้เยาวชนจำนวน 99% ที่เหลือ ต้องกลับเข้าสู่ระบบการศึกษาดังเดิม เพื่อไปประกอบอาชีพอื่นแล้วอาจหันเหไปเล่นฟุตบอลสมัครเล่นแทน

          ช่วงวัดใจอีกขั้นหนึ่งของนักเตะระดับเยาวชน ที่อยู่ในสังกัดสโมสร ก็คือสัญญานักเตะอาชีพ ซึ่งมักจะมอบให้กับนักเตะเมื่ออายุราว 16 ปี เพื่อคัดเลือกหัวกะทิจาก 15,000 เหลือ 1,500 เท่านั้น ที่จะได้เล่นให้กับทีมสำรองของสโมสร โดยนักเตะราว 13,500 ที่ถูกคัดออก อาจจะต้องไปซบทีมลีกรอง หรือลีกในต่างแดน

          ส่วนนักเตะเยาวชนที่ถูกคัดเลือกเป็น 1,500 รายสุดท้าย เมื่อถึงขั้นนี้ก็สามารถการันตีได้ว่าจะสามารถเป็นนักเตะอาชีพได้แน่นอน อยู่ที่ว่าจะเป็นนักเตะในระดับไหนเท่านั้น โดยหากยู่กับทีมไปเรื่อย ๆ จนอายุเกิน 23 ปี แล้วไม่สามารถขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้ ก็จำเป็นต้องย้ายไปเล่นทีมอื่น ซึ่งมีการันตีว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร แต่หลายกรณีที่ย้ายออกไป สุดท้ายกลายเป็นดาวดังค่าตัวแพงระยับ ก็มีไม่น้อย

          ทั้งหมดนี้จึงทำให้เห็นความกดดัน พร้อมกับความเข้มข้นของการจะเป็นนักเตะอาชีพ ซึ่งทุกคนล้วนมีความฝัน แต่น้อยรายที่จะสามารถทำให้ความฝันนั้นกลายเป็นจริงได้

ติดตามข่าวสารในวงการฟุตบอลทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะทำให้คุณไม่พลาดอย่างแน่นอน